สัตว์ทะเล
ฟองน้ำทะเล (Marine sponges)
ฟองน้ำฟองน้ำเป็นสัตว์ทะเลประเภทหนึ่งมีเซลล์จัดเรียงตัวกันอย่างหลวมๆสองชั้น รูปร่างมีความต่างกันมาก บางชนิดแผ่คลุมไปบนพื้นหินและซอกปะการัง บางชนิดเป็นรูปเจกันคล้ายครก ขนาดของฟองน้ำมีความแตกต่างกัน บางชนิดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่มีพื้นสภาพต่างกัน
ลำตัวของฟองน้ำนั้นมีรูฟุนขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นช่องให้น้ำไหลเข้าไปในโพรงลำตัวและบุไว้ด้วยกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้าที่กินอาหารโดยใช้แส่จับ ฟองน้ำมีลักษณะอ่อนนุ่ม ยืดหยุ่นได้ ภายในลำตัวมีโครงค้ำจุนให้คงรูปร่างอยู่ได้ฟองน้ำอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีเป็นผลแบบการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยวิธีการแตกหน่อ แล้วหน่อยังคงติดอยู่กับตัวเดิม ทำให้มีสมาชิกหลายตัวอยู่ติดกันแผ่ขยายคลุมพื้นที่กว้างออกไปเรื่อยๆ ฟองน้ำกินอาหารโดยอาศัยระบบท่อน้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในโพรงลำตัวและมีเซลล์จับเหยื่อโดยใช้แส่ อาหารที่ปนมากับน้ำได้แก่ สาหร่าย ไดอะตอม โปรโตซัว แบคทีเรีย
ฟองน้ำเป็นสัตว์กลุ่มเดียวที่ไม่มีเซลล์ประสาท ไม่มีอวัยวะหรือโครงสร้างในการรับความรู้สึก การมองเห็น การรับรส กลิ่นเสียง ทั้งยังไม่มีปฎิกริยาตอบสนองใดๆต่อสิ่งกระตุ้นเลย เว้นแต่บริเวณช่องน้ำออกเท่านั้นที่นักชีววิทยาพบว่ามีการหดและขยายบ้างเล็กน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารและน้ำที่ไหลผ่านระบบท่อน้ำ สัตว์ทะเลหลายชนิดอาศัยอยู่กับฟองน้ำ เช่น กุ้ง ปู ใส้เดือนทะเล ดาวเปราะ ปลิงทะเล และจะเก็บกินเศษอาหารที่ติดอยู่ตามผิวลำตัวของฟองน้ำ เพราะฟองน้ำมีเศษอินทรีย์และจุลินทรีย์ติดอยู่ที่ผิวด้านนอก นอกจากนี้ปูบางชนิดยังชอบเก็บฟองน้ำไปแบกไว้บนหลังเพื่อใช้เป็นเกาะคุ้มกันทางด้านหลัง และเมื่อฟองน้ำเจริญต่อไป ก็อาจคลุมตัวปูจนมองไม่เห็นตัวปูจากทางด้านบน
ส่วนสัตว์ที่นิยมกินฟองน้ำเป็นอาหารก็คือทากทะเล ซึ่งฟองน้ำนี้ส่วนมากแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดที่นิยมกินมันเพราะว่าฟองน้ำมีหนามหรือเส้นใยเยอะอีกทั้งยังทีรสชาติที่ไม่น่ากิน อายุของฟองน้ำแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีอายุพียงฤดูกาลเดียว บางชนิดอยู่ได้หลายปี
ฟองน้ำส่วนใหญ่ส่วนใหญ่สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยการแตกหน่อ นอกจากนี้ฟองน้ำยังสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยฟองน้ำแต่ละตัวสร้างเซลล์สืบพันธ์ทั้งเพศผู้และเพศเมีย อยู่ภายในตัวเดียวกันแต่เซลล์สืบพันธุ์ทั้งสองเพศ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ขนนกทะเล
ขนนกทะเลจัดอยู่ในกลุ่มซีเลนเตอเรทพวกไฮโตรซัวอาศัยอยู่รวมเป็นโคโลนีที่แตกกิ่งก้านคล้ายกิ่งไม้เล็กๆหรือแตกแขนงคล้ายขนนกตัวขนนกทะเลแต่ละตัวเป็นโพลิปขนาดเล็ก โพลิปจะกินอาหารจำพวกแพลงตอนขนาดเล็กหรืออินทรียวัตถุที่ล่องลอยอยู่ในทะเล ขนาดของขนนกมีความแตกต่างกัน ส่วนใหญ่โคโลนีที่คล้ายกิ่งไม้มีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร อาศัยเกาะอยู่ตามปะการังต่างๆ ขนนกทะเลเป็นสัตว์มีพิษหากสัมผัสกับผิวหนังของเรา จะทำให้เกิดรอยไหม้เป็นผื่นคัน เนื่องจากเข็มพิษจากโพลิปของขนนกทะเลมีน้ำพิษอยู่ด้วย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปะการังไฟ
ปะการังไฟเป็นไฮโครซัวชนิดหนึ่งพวกเดียวกับขนนกทะเลและสร้างฐานรองรับเป็นหินปูนแข็งและสร้างฐานรองรับโพลิปเป็นหินปูนแข็ง ตัวโพลิปปะการังไฟมีรูปร่างสองแบบ แบบหนึ่งหนึ่งทำหน้าที่จับเหยื่อกินอาหารและมีหนวดเรียกว่าแดดทิลโลซูออยด์ และอีกแบบที่ไม่มีหนวด มีหน้าที่รับความรู้สึกสัมผัสและสร้างเข็มพิษ ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อหรือป้องกันตัว โพลิปแบบนี้เรียกว่าแดดซิลโซลูออยด์ เมื่อเราไปสัมผัสปะการังไฟ น้ำพิษจากเข็มพิษจึงทำให้เกิดอาการคันได้
รูปร่างของปะการังนั้นส่วนใหญ่จะคล้ายกับปะการังก้อน ปะการังผักกาด หรือปะการังเขากวาง ปะการังไฟทุกชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนี กินแพลงตอนและอินทรียวัตถุในน้ำเป็นอาหาร สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
แมงกระพรุน
แมงกะพรุนทั่วโลกมีอยู่ 200 ชนิด เป็นสัตว์มีโพรงในลำตัว ร่างกายประกอบไปด้วยน้ำส่วนใหญ่ ลักษณะคล้ายก้อนวุ้นเคลื่อนที่ได้ แต่การว่ายน้ำแบบเคลื่อนที่ของแมลงกระพรุนเป็นไปอย่างเชื่อช้าและว่ายไปตามกระแสน้ำสุดแต่คลื่นลมจะพาไป แมงกะพรุนถูกจัดเป็นแพลงตอนชนิดหนึ่งและนับเป็นแพลงตอนขนาดใหญ่ บางตัวมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 40 เซนติเมตร การที่แมงกะพรุนดำรงชีวิตเป็นแพลงตอนและล่องลอยไปตามคลื่นลมนี้เอง ช่วงฤดูร้อนที่มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าสู่ภาคตะวันออกของอ่าวไทย จึงมีแมงกะพรุนชุกชุมอยู่ตามชายทะเลแถบภาคตะวันออกดังนั้นการเล่นน้ำตามสถานตากอากาศแถบบางแสน พัทยา ระยอง จึงอาจถูกแมงกะพรุนไฟได้ รูปร่างแมงกะพรุนมีลักษณะคล้ายร่ม ทางด้านนอกของร่มเป็นรูปโค้งผิวเรียบ ด้านใต้มีปากอยู่ตรงกลางและมีส่วนยื่นรอบปากออกไป แมงกะพรุนทุกชนิดมีพิษพบมากบริเวณหนวดและส่วนยื่นรอบปาก เมื่อได้รับการกระตุ้นโดยการสัมผัส เข็มพิษจะถูกปล่อยออกมาคล้ายฉมวกพุ่งแทงเข้าไปที่ผิวหนังของเหยื่อหรือศัตรู น้ำพิษที่อยู่ภายในกระเปาะอาจทำให้เหยื่อขนาดเล็กสลบและตายได้ ตามปกติแมงกะพรุนเป็นสัตว์กินเนื้อ อาหารที่กินได้แก่ ปลาและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็กที่อาศัยตามผิวทะเลโดยแมงกะพรุนใช้เข็มพิษฆ่าเหยื่อ และรวบจับใส่ปากเข้าไปย่อยภายในท่อทางเดินอาหาร ส่วนกากอาหารที่ย่อยไม่ได้จะถูกคายทางปาก แมงกะพรุนส่วนใหญ่มีเพศแยกกันเป็นตัวผู้และตัวเมีย แต่ต่างจากรูปร่างภายนอกไม่ปรากฏลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจน การผสมพันธุ์เกิดโดยตัวผู้สร้างเสปิร์มส่งออกไปผสมกับไข่ตัวเมีย หรืออาจเป็นการผสมกันภายนอกลำตัว ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเจริญพัฒนาเป็นตัวอ่อน ดำรงชีวิตเป็นแพลงตอนชั่วคราว แล้วจากนั้นจะว่ายไปเกาะพื้นเปลี่ยนรูปร่างเป็นโพลิปสืบพันธ์แบบไม่อาศัยเพศด้วยการแบ่งตัวออกเป็นชั้นๆ หลุดไปเป็นแมงกระพรุนตัวเล็กๆแล้วเติบโตเป็นตัวเต็มไว้ในเวลาต่อมา (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ดอกไม้ทะเล
ดอกๆไม้ทะเลจะมีรูปร่างเป็นทรงกระบอก มีหนวดจำนวนมากเรียงรายกันอยู่ด้านบน ส่วนทางด้านล่างเป็นฐานใช้ยึดเกาะติดกับวัตถุใต้น้ำ ขนาดของดอกไม้ทะเลแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันตั้งแต่ตัวเล็กกว่า 1 เซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่กว่าครึ่งเมตร อาหารของดอกไม้ทะเลได้แก่ ปลาหรือสัตว์ทะเลชนิดอื่นที่ว่ายเข้ามาในระยะที่หนวดจับได้ ดอกไม้ทะเลจะปล่อยนีมาโตซีสออกมาทำให้เหยื่อสลบ แล้วรวบเข้าปากที่อยู่ตรงกลาง ดอกไม้ทะเลนั้นจะมีถิ่นที่อยู่อาศัยแตกต่างกัน บางชนิดที่อยู่ในเขตน้ำขึ้นน้ำลงจะมีความทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้ดีทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงความชื้น ความเค็มและอุณหภูมิรวมทั้งความสามารถในการอยู่บนบกได้เป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงขณะที่น้ำทะเลลดลงด้วย เราจึงมักพบดอกไม้ทะเลเกาะอยู่ตามก้อนหินริมชายฝั่งโดยหดตัวเป็นก้อนกลม เพื่อรอให้น้ำทะเลท่วมบริเวณที่อาศัยอยู่อีกครั้งหนึ่ง
ดอกไม้ทะเลบางชนิดมีสาหร่ายอาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื้อทั้งลำตัวและหนวด จึงทำให้มีสีเขียวการอยู่รวมกันนี้ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ เพราะสาหร่ายมีคลอโรฟิลสามารถสังเคราะห์แสงได้ ซึ่งผลจากการสังเคราะห์แสงนั้นจะได้แป้งและออกซิเจน ดอกไม้ทะเลสามารถนำเอาออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการหายใจ ส่วนสาหร่ายนอกจากจะมีที่อยู่อาศัยแล้ว ยังสามารถนำเอาของเสียจากการขับถ่ายของดอกไม้ทะเลเป็นแร่ธาตุไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต ดอกไม้ทะเลขนาดใหญ่มักเป็นที่อยู่อาศัยของปลาการ์ตูนและปลาอินเดียแดงและปลาสลิดหินหลายชนิด เพราะหนวดของดอกไม้ทะเลมีพิษนีมาโตซีสใช้ฆ่าเหยื่อหรือศัตรูได้ ยกเว้นปลาที่อาศัยอยู่กับดอกไม้ทะเลเท่านั้นที่สร้างเมือกออกมาคลุมลำตัว สามารถป้องกันพิษจากดอกไม้ทะเลได้
ดอกไม้ทะเลบางชนิดอาศัยอยู่กับปูเฉฉวนหรือปูป้ เป็นความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่ปูยอกให้ดอกไม้ทะเลเกาะอยู่บนหลัง ดอกไม้ทะเลจะทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยด้านหลัง เพราะสัตว์ผู้ล่ามักไม่กล้าเข้าใกล้ดอกไม้ทะเล ทำให้ปูปลอดภัยส่วนดอกไม้ทะเลได้รับประโยชน์ในการย้ายที่อยู่เพื่อหาอาหาร และหลีกเลี่ยงจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ดอกไม้ทะเลมีการสืบพันธุ์ได้สองวิธีคือ แบบไม่อาศัยเพศโดยการแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสองตามความยาวจากฐานหนวดลงไปยังฐานยึดเกาะด้านล่างและการสืบพันธ์แบบอาศัยเพศ โดยดอกไม้ทะเลบางชนิดมีสองเพศอยู่ภายในตัวเดียวกัน หรือแยกเป็นตัวผู้และตัวเมีย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
กัลปังหา
กัลปังหา กัลปังหาเป็นสัตว์ทะเลพวกเดียวกับปะการัง ทุกชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีแตโพลิปมีหนวดแปดเส้นรอบปาก หนวดแต่ละเส้นมีแขนงแตกออกคล้ายใบปรงหรือเฟริ์น กัลปังหากินแปลงตอนเป็นอาหาร โดยใช้หนวดรวบใส่ปากตรงกลาง การย่อยเกิดในกระเพาะที่มีลักษณะเป็นถุง หลังจากย่อยแล้งกากอาหารจะถูกคายออกทางปาก กัลปังหานั้นจะอาศัยอยู่ตามแนวปะการังหรือกองหินใต้น้ำเท่านั้นเพราะต้องการยึดเกาะกับพื้นแข็งแต่จะไม่สามารถงอกอยู่ที่พื้นทรายหรือโคนได้ และการที่กัลปังหามีการแตกกิ่งก้านออกไป สัตว์หลายชนิดจึงมักมาอาศัยพึงพาอยู่กับกัลปังหา เช่นปลาสลิดหินขนาดเล็ก ใช้เป็นที่หลบกำบังศัตรู หอยสองกาบใช้กัลปังหาเป็นที่ยึดเกาะ ดาวตาข่าย ดาวขนนก กุ้งขนาดเล็ก ใช้กัลปังหาเป็นที่เกาะสำหรับคอยดักจับอาหารที่ลอยมากับน้ำ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปากกาทะเล
มีลักษณะใกล้เคียงกับปะการังอ่อน ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่รวมกันเป็นโคโลนีเช่นเดียวกับกัลปังหาและปะการังอ่อน ด้านล่างเป็นด้ามใช้สำหรับฝังลงในพื้นทะเลที่เป็นดินโคลน หรือโคลนปนทราย ส่วนบนที่อยู่ของโพลิบรูปร่างเป็นทรงกระบอก สามารถยืดหดตัวจากเนื้อเยื่อของโคโลนีเพื่อจับเหยื่อ แต่ละโคโลนีมีโพลิปหรือตัวปากกาทะเลนับร้อยตัว
ปากกาทะเลทุกชนิดอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลโดยเฉพาะบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลผ่านเพราะโพลิปจะได้รับแพลงตอนที่พัดพากับกระแสน้ำและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ปากกาทะเลมีคุณสมบัติพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการเรืองแสงได้ในที่มืด การเรืองแสงอาจเกิดเป็นบางส่วนหรือเกิดพร้อมกันทั้งโคโลนีก็ได้ ด้วยเหตุนี้ท้องทะเลบางพื้นที่ที่มีปากกาทะเลอาศัยอยู่ จึงอาจมีแสงเรืองคล้ายไฟใต้น้ำส่องสว่างด้วย ปากกาทะเลนั้นไม่สามารถนำมาบริโภคได้จึงถูกนำไปทำอาหารสัตว์ปะปนกับปลาเป็ด (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
แม่เพรียง
เป็นหนอนปล้องที่มีลำตัวเรียวยาว ร่างกายค่อนข้างแบนออกเป็นปล้องจำนวนมาก ด้านหน้ามีลักษณะคล้ายหัวโดยมีปากและเขี้ยว 1 คู่ที่ปาก มีอวัยวะรับสัมผัสคล้ายหนวด ถัดจากหัวและลำตัวมีลักษณะเป็นปล้องขนาดเท่าๆกัน อาหารที่แม่เพียงชอบกินได้แก่สาหร่ายทะเล เศษอินทรีย์ตามพื้นทะเล แม่เพรียงเป็นสัตว์แยกเพศแต่ละตัวมีเพียงเพศเดียวโดยอาจมีการเปลี่ยนรูปร่างและสีของลำตัวในช่วงฤดูผสมพันธุ์ บางชนิดมีการปล่อยร่างกายตอนปลายที่มีเซล,สืบพันธุ์ให้หลุดขาดออกไปทำให้เซลล์สืบพันธ์ผสมกันในน้ำทะเล (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
หนอนดอกไม้
หนอนดอกไม้เป็นหนอนปล้องที่มีลำตัวเป็นท่อนยาวแบ่งออกเป็นปล้องชัดเจน มีการสร้างหลอดด้วยตะกอนดินหรือเศษวัสดุเล็กๆตามพื้นทะเล บางชนิดสกัดสารออกมาละลายหินปะการังแล้วฝังตัวอยู่ภายใน ช่อพู่ขนของหนอนดอกไม้หลายชนิดมีสีสันสวยงาม หลากสี นอกจากพู่ขนแล้วหนอนดอกไม้บางชนิดมีงวงยื่นออกมาจากหลอดทำหน้าที่ปิดปากหลอดขณะที่หดตัวเอาพู่ขนหลบเข้าไปข้างใน การทำงานของงวงปิดหลอดนี้มีรูปแบบคล้ายกับหอยกาบเดี่ยวที่มีแผ่นฝาปิดปาก เมื่อหดตัวเข้าไปอยู่ภายในเปลือก หนอนดอกไม้เป็นสัตว์แยกเพศ การปฏิสนธิระหว่างเสปิร์มกับไข่เกิดภายนอกลำตัวโดยการผสมกันในน้ำทะเล (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ลิ่นทะเล
ลิ่นทะเลเรียกอีกอย่างว่า “หอยแปดเกล็ด” จัดเป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่มหรือมอลลัสเช่นเดียวกับหอยและหมึกทั่วไป รูปร่างคล้ายกับทากดิน ไม่มีส่วนหัวและห่างที่ชัดเจนลำตัวเป็นรูปไข่ ด้านบนโค้งนู้น และมีเปลือกคล้ายเกล็ดจำนวน 8 แผ่นเรียงซ้อนกันจากด้านหน้าไปยังด้านท้ายคล้ายกระเบื้องมุงหลังคายกเว้นบางชนิดเกล็ดอาจเรียงต่อกันเป็นแถวๆรอบๆเกล็ดเป็นแมนเทิลที่ปกคลุมด้วยหนามสั้นๆ ด้านล่างตรงกลางมีกล้ามเนื้อเท้ารูปไข่เป็นพื้นแบนเรียบช่วยในการเคลื่อนที่ ปากของลิ่นทะเลอยู่ด้านหน้า ภายในปากมีแผ่นลิ้นใช้ในการขูดสาหร่าย ไลเคนซ์กินอาหาร ที่อยู่ของลิ่นทะเลสามารถพบได้ตามโขดหินริมชายฝั่งทะเลและรอบเกาะ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ทากทะเล
ทากทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกหอยกาบเดียวมีรูปร่างลีสันที่แปลกตา จึงได้รับสมญานามว่า ราชินีแห่งท้องทะเล ทากทะลอาศัยอยู่ตามแนวปะการังที่มีฟองน้ำหรือสาหร่ายทะเลชุกชุม เพราะฟองน้ำเป็นอาหารที่ทากชอบกิน ทากชอบกินอาหารที่มีรสและกลิ่นที่ไม่ค่อยเหมือนสัตว์อื่น ทากทะเลสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศบางชนิดมีทั้งเพศเดียวกันในตัวเดียวกัน บางชนิดแยกเพศ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
หอยฟองน้ำ
หอยฟองน้ำหรือที่เรียกทั่วไปว่าหอยม่วง จัดอยู่ในกลุ่มหอยกาบเดี่ยว รูปร่างคล้ายหอยโข่ง มีเปลืองม่วงขนาดประมาณ 2-3 เซนติเมตร เป็นหอยที่สร้างฟองอากาศเป็นทุ่นลอยตัวไปตามผิวทะเลและจัดเป็นแพลงตอนชนิดหนึ่ง เมื่อถูกคลื่นลมพัดเข้าสู่ชายฝั่ง จึงถูกซัดขึ้นมาเกยแห้งอยู่บริเวณริมหาด พบอยู่ทั่วไปตามทะเลเขตร้อน หอยฟองน้ำเป็นสั่ตว์กินเนื้อ ขณะที่ล่องลอยไปตามผิวทะเลจะจับแพลงตอนสัตว์อื่นๆกินเป็นอาหาร เช่นแมงกระพรุนเหรียญ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
หอยเต้าปูน
หอยเต้าปูนหรือหอยมรณะ มีลักษณะเป็นรูปกรวย คล้ายถ้วยไอติมโคลนเปลือกมักหนาและหนัก หอยชนิดนี้ชอบล่าสัตว์กินเป็นอาหาร โดยอาศัยพิษจากภายในลำตัวฆ่าเหย่อให้ตายก่อนจับกินเป็นอาหาร พิษของหอยเต้าปูนเป็นสารประกอบจำพวกโปรตีนในถุงน้ำพิษ บีบตัวส่งไปทางท่อน้ำพิษผ่านไปยังคอหอยซึ่งมีแผงฟัน ทำให้น้ำพิษเคลือบเข็มพิษซึ่งจะพุ่งออกไปคล้ายฉมวก หอยเต้าปูนมีมากกว่า 400 ชนิดทั่วโลก พบอาศัยอยู่ในมหาสมุทรต่างๆ โดยเฉพาะเขตอินโดแปซิฟิกรวมทั้งในน่านน้ำไทยด้วย หอยเต้าปูนที่มีพิษได้แก่ หอยเต้าปูนลายผ้า หอยเต้าปูนลายแผนที่ หอยเต้าปูนลายหินอ่อนเป็นต้น (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
หอยแต่งตัว
หอยแต่งตัวเป็นหอยกาบเดียวรูปฝาชี มียอดเป็นมุมป้าน รูปร่างคล้ายหมวกเวียดนาม จัดอยู่ในวงเดียวกับหอยหมวก เปลือกมักมีสีครีมและสีเหลืองอ่อน และมีเปลือกหอยชนิดอื่นติดไว้ตามเปลือกของตัวเอง พฤติกรรมนี้เป็นการกระทำเพื่อปรับตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่หอยชนิดนี้อาศัยอยู่ตามแนวปะการังที่มีเศษวัสดุจำวกเปลือกหอยหรือซากปะการังกองทับถมกันอยู่ หอยแต่งตัวพบใกล้ชายฝั่งบริเวณแนวปะการังมีอยู่ไม่มากนัก (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
หอยมือเสือ
หอยมือเสือเป็นหอยสองกาบเปลือกด้านนอกมีลักษณะเป็นลอนคล้ายกระเบื้องลูกฟูกและมีเกร็ดเป็นแผ่นครึงวงกลมเรียงซ้อนกัน เปลือกทั้งสองยึดติดกันไว้ด้วยบานพับและเอ็น โดยมีช่องให้มัดกล้ามเนื้อขนาดใหญ่ยื่นออกมายึดเกาะกับหินปะการังเอาไว้ หอยมือเสือที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติจะอ้ากากออก ทำให้เห็นแมนเทิลเป็นสีเขียวปนน้ำเงินปนเขียวหรือเหลืองเป็นลวดลายต่างๆในแมนเทิลเป็นที่อยู่ของสาหร่าย หอยมือเสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามแนวปะการังของไทย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ดาวทะเล
ดาวทะเลเป็นสัตว์มีหนาม ร่างกายจะประอบไปด้วยแผ่นกลางลำตัวและแขนที่ยืนออกไปจากส่วนกลางเป็นรัศมี จำนวนแขนของดาวทะเลส่วนใหญ่มี 5 แฉก น้อยมากที่จะพบ 8 แฉก ตามผิวของลำตัวจะมีหนามขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน มีปากอยู่ตรงกลางด้านล่าง ดาวทะเลเคลื่อนที่โดยอาศัยท่อน้ำทำให้เกิดแรงดันเข้าไปในเท้าท่อ ระบบท่อน้ำประกอบไปด้วยท่อตะแกรงอยู่บนแผ่นกลางตัวระหว่างแขนคู่หนึ่ง น้ำแนวรัศมีจะไหลลงสู่ท่อน้ำวงแหวนและแยกออกไปในแนวรัศมีสู่เท้าท่อที่ยืดหดได้ ตรงปลายของเท้าท่อมีปุ่มดูดช่วยในการยึดเกาะได้ดี การเคลื่อนที่ของดาวทะเลเป็นไปอย่างเชื่องช้า อาหารที่ดาวทะเลกินคือ เนื้อสัตว์ตามพื้นทะเล ดาวทะเลหายใจโดยใช้เหงือกที่เป็นลักษณะกลุ่มขนสั้นๆอยู่รวมกันเป็นกระจุก ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนกับน้ำทะเล ดาวทะเลสามารถอดอาหารนานๆได้ หากถูกทำร้ายจนร่างกายแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ขาดไปสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
เม่นทะเล
เม่นทะเลเป็นทรงกลม รูปไข่ ภายนอกมีหนามอยู่รอบๆอาศัยอยู่ที่พื้นทะเลใต้น้ำตื้นบ้างลึกบ้างตามก้อนหินหรือแนวปะการังชอบพรางตัวอยู่บริเวณปะการังที่ตายแล้วมีหนามจำนวนมากขนาดยาวสั้นไม่เท่ากันเพื่อเป็นอาวุธป้องกันตัว เม่นทะเลเคลื่อนที่ได้ช้าๆชอบไต่ไปตามก้อนหิน อาหารของเม่นทะเลคือ สาหร่ายที่เกาะติดอยู่ตามก้อนหินหรือแนวปะการัง หนามของเม่นทะเล มีฐานเป็นรูปถ้วยยืดติดอยู่กับปมบนแผ่นเปลือกทำให้หนามเคลื่อนไหวไปมาได้ทุกทิศทางหนามแหลมด้านบนของตัวเม่นทะเลมีขนาดยาวกว่าหนามด้านล่างหลายเท่า ส่วนหนามที่อยู่ด้านล่างของลำตัวจะสั้นกว่า ช่วยในการเคลื่อนที่ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลิงทะเล
ปลิงทะเลเรียกอีกอย่างว่าแตงกวาทะเล เพราะลำตัวเป็นท่อนสั้นบ้างยาวบ้าง อ่อนนุ่มยืดหดได้ บางชนิดมีหนามแข็งบริเวณผิวหนัง ด้านปากถือว่าเป็นส่วนหัว โดยมีหนวดอยู่รอบปากใช้ในการจับเหยื่อและอาหาร ส่วนอีกด้านจะเป็นด้านที่เอาไว้ขับถ่าย ปลิงทะเลบางชนิดกินอินทรียวัตถุบางชนิดกินแพลงค์ตอนและสารแขวงลอยในน้ำ ปลิงทะเลส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลน หรือดินทราย แต่ละชนิดจะเลือกถิ่นที่อาศัยต่างกันไป ปลิงทะเลเมื่อถูกรบกวนจะปล่อยเส้นใยสีขาวที่เรียกว่า “ท่อของคูเวียร์” ออกมาป้องกัน เพื่อทำให้ศัตรูตกใจหรือพันลำตัวของศัตรู เส้นใยนี้จะเหนียวเมื่อผสมกับน้ำทะเล (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ดาวขนนก
ดาวขนขนมีรูปร่างที่คล้ายกับต้นปรง ร่างกายประกอบด้วยแผ่นกลางตัวขนาดเล็กและมีแขนยื่นยาวออกไปโดยรอบ แต่ละแขนจะมีแขนงแยกออกไปคล้ายใบ ด้านล่างจะมีแขนงยื่นออกไปทำหน้าที่ยึดเกาะกับพื้นและจะเคลื่อนย้ายที่อยู่ในอย่างเชื่องช้า แต่ปกติมักจะอยู่กับที่ ดาวขนนกกินแพลงตอนและสารอินทรีย์ในน้ำทะเลเป็นอาหาร โดยการใช้แขนงบนแขนรวบรวมอาหารให้เคลื่อนที่จากร่องแขนลงสู่ปากที่อยู่ตรงกลางของแผ่นกลางตัว ส่วนใหญ่ดาวขนนกนั้นจะอาศัยอยู่ตามแถวแนวปะการัง โดยจะเกาะอยู่บนปะการัง บางครั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันหลายตัว (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
กั้งตั๊กแตน
กั้งตั๊กแตนเป็นสัตว์กินเนื้อ ล่าเหยื่อโดยการใช้ก้ามเกี่ยว อาหารของกั้งได้แก่ พวกกุ้งหอย ปลาตัวเล็กๆ กั้งแต่ละชนิดจะอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่ที่แตกต่างกัน โดยกั้งจะขุดรูที่มีทางออกทางเข้าได้ทั้งสองทางซึ่งต่างจากกุ้งตรงที่มักจะฝังตัว กั้งจะเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆเพราะไม่ชอบว่ายน้ำ แต่ถ้าเมื่อไรที่กั้งถูกรบกวนก็จะงอตัว (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปูเสฉวน
ปูเสฉวนเป็นสัตว์ที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างปูกับกุ้ง กระดองของปูเสฉวนนั้นจะมีความยาวมากกว่าความกว้าง ก้ามสองข้างไม่เท่ากัน ปูเสฉวนจะอาศัยอยู่ในเปลือกหอยขนาดที่พอเหมาะกับลำตัวได้แค่ชั่วเวลาหนึ่งเพราะลำตัวมันเติบโตขึ้น เมื่อตัวโตขึ้นก็ต้องเปลี่ยนเปลือกหอย ต้องหาเปลือกหอยหรือที่อยู่ใหม่ ปูเสฉวนเป็นสัตว์กินเนื้อหรือเศษอินทรีย์ตามพื้นทะเลที่อาศัยอยู่ แต่มันก็อาจตกเป็นเหยื่อของผู้ล่ารายอื่นในทะเลได้เช่นกัน (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปูแต่งตัว
ปูแมลงมุมมีขาเดิน บอบบางและไม่แข็งแรง ต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอดด้วยการพรางตัวเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำเอาเศษวัสดุจากธรรมชาติมาติดไว้ตามลำตัวเพื่อเป็นกระดอง ก้ามหรือขาเดิน จึงเรียกปูแมงมุมอีกชื่อหนึ่งว่าปูแต่งตัว ปูแต่งตัวส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่มีสาหร่ายหรือแนวปะการังเป็นที่หลบซ่อน (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปูลม
ปูลมมีกระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นผิวของกระดองด้านบนมีสีครีมคล้ายกับสีของพื้นทราย ด้านล่างและขามีสีน้ำตาลแดง ปูลมมักขุดรูอาศัยอยู่ริมชายหาดทรายในระดับที่น้ำทะเลจะขึ้นมาถึง (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปูก้ามดาบ
ปูก้ามดาบตัวผู้จะมีก้ามข้างหนึ่งใหญ่มากส่วนอีกข้างหนึ่งจะมีขนาดเล็กในขณะที่ตัวเมียจะมีก้ามเล็กทั้งสองก้าม การโบกก้ามของปูตัวผู้นั้นหมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่และอีกนัยหนึ่งก็คือการเรียกร้องความสนใจจากปูตัวเมีย เพื่อให้ตัวเมียตกลงและยินยอมเป็นคู่ ปูก้ามดาบโดยทั่วไปอาศัยอยู่ในรูตามริมชายฝั่งเขตน้ำขึ้นน้ำลง แถวๆบริเวณหาดทรายที่มีดินโคลนปนด้วย ปูก้ามดาบนั้นมีพฤติกรรมการเปลี่ยนสีตัวโดยในเวลากลางวันหรือในขณะที่น้ำลดมันจะมีสีเข้มแต่ในเวลากลางคืนจะมีสีซีด (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปูแสม
ปูแสมมีกระดองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ปกคลุมด้วยขนสั้นอ่อนนุ่มกล้ามทั้งสองข้างมีขนาดใกล้เคียงกัน ปูแสมมักขุดรูอยู่อาศัยตาใต้รากโกงกางในบริเวณป่าชายเลน มักจะออกหากินในเวลากลางคืนอาหารที่กินส่วนใหญ่มักเป็นศากสัตว์และเศษอินทรีย์ตามพื้นดิน (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาฉลาม
ปลาฉลาม เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างโดยรวมเพรียวยาว มีซี่กรองเหงือก 5 ซี่ ครีบทุกครีบแหลมคม ครีบหางเป็นแฉกเว้าลึก มีจุดเด่นคือ ส่วนหัวและจะงอยปากแหลมยาว ปากเว้าคล้ายพระจันทร์เสี้ยวภายในมีฟันแหลมคม ปลาฉลามแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ปลาฉลามหน้าดินและปลาฉลามกลางน้ำ ปลาฉลามหน้าดินมักเป็นฉลามที่เชื่องช้า ชอบหากินอยู่ตามพื้นทะเล ฉลามหน้าดินจะไม่ดุร้าย สัตว์ไม่กระดูกสั้นหลังเป็นอาหาร และออกลูกเป็นไข่ ส่วนปลาฉลามกลางน้ำเป็นปลาที่ว่ายน้ำอยู่ตลอด และมักดุร้าย ไล่ล่าปลาชนิดอื่นเป็นอาหาร และออกลูกเป็นตัว ปลาฉลามเป็นปลาที่ว่องไวปราดเปรียว บางชนิดว่ายน้ำได้เร็วมาก ปลาฉลามมีอวัยวะรับความรู้สึกอยู่สามแห่งคือ อวัยวะรับความรู้สึกทางกลิ่น อวัยวะรับสัมผัสทางการมองเห็น และสามคือการอาศัยเส้นข้างลำตัวทำหน้าที่รับความรู้สึกเกี่ยวกับแรงสั้นสะเทือนของคลื่นใต้น้ำในระยะไกล (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลากระเบนนก
ปลากระเบนนกเป็นปลากระเบนที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่ มีอยู่หลายชนิด จะใช้หางเสือว่ายน้ำไปทางทิศทางที่ต้องการ ปลากระเบนนกจะอาศัยอยู่ตาพื้นทะเล อาหารที่กินคือสัตว์ขนาดเล็กหรือพวกกุ้งเคย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาไหลมอเล่ย์
ปลาไหลมอเล่ย์จัดอยู่ในประเภทที่ไม่มีครีบหู ตามผิวลำตัวไม่มีเกล็ด ผิวหนา มีฟันที่แหลมคม ปลาไหลมอเล่ย์ค่อนข้างดุหากถูกปุกรุกถึงถิ่นที่อยู่ หรือหากศัตรูเข้าใกล้อาจกัดเช่นเดียวกับงู (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ม้าน้ำ
ม้าน้ำเป็นปลากระดูกแข็ง มีรูปร่างและพฤติกรรมการผสมพันธุ์ที่แปลกกว่าสัตว์ชนิดอื่น ม้าน้ำตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะต่างกันคือ ตัวผู้มีถุงหน้าท้องไว้ฟักไข่จนกระทั่งกลายเป็นตัว ทำหน้าที่คลอดลูกแทนม้าน้ำตัวเมีย ม้าน้ำจะชอบอาศัยอยู่ตามเสาโป๊ะ โพงพาง หรือหลาบอยู่ตามสาหร่ายทะเลที่ระดับน้ำไม่ลึกมาก คอยจับสัตว์เล็กๆกินเป็นอาหาร (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลานกแก้ว
ปลานกแก้วเป็นปลาที่มีลักษณะที่คล้ายกับนกแก้ว มีลำตัวที่สั้นและแบนทางด้านข้าง หัวค่อนข้างใหญ่ ตาเล็ก ขากรรไกรบนของปากคล้ายนกแก้ว มักอาศัยอยู่ตามแนวปะการังหรือเกาะแก่งรอบๆเกาะต่างๆที่น้ำใส มักอาศัยอยู่โดดเดี่ยวหรือรวมกันเป็นฝูงขนาดย่อม หาอาหารกินในเวลากลางวันส่วนในเวลากลางคืนจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามซอกปะการัง โดยปล่อยเมือกออกมาหุ้มลำตัวหรือปิดกั้นปากโพรงซอกหินเพื่อป้องกันตัว โดยจะโผล่ส่วนหัวออกมาเพื่อหายใจเพียงเล็กน้อย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลามีดโกน
ปลามีดโกนมีลักษณะลำตัวคล้ายมีดโกน อาหารของปลามีดโกนโดยส่วนใหญ่แล้วเป็นแพลงตอนและสัตว์น้ำขนาดเล็ก ปลามีดโกนมักจะเอาหัวปักลงระหว่างหนามของเม่นทะเล เพราะไม่มีผู้ล่ารายใดจะชอบเข้าไปใกล้หนามของเม่นทะเล มันจึงปลอดภัยจากการถูกล่า (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาผีเสื้อ
ปลาผีเสื้อเป็นปลาสวยงาม อยู่อาศัยตามแนวปะการัง อาหารของปลาผีเสื้อเป็นสัตว์น้ำจำพวกลูกกุ้ง หนอน หอย ตามพื้นแนวปะการัง ปลาผีเสื้อส่วยใหญ่จะพรางตัวเพื่อไม่ให้ศัตรูเข้าจู่โจมได้ง่ายๆ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาการ์ตูน
ปลาการ์ตูนเป็นปลาขนาดเล็ก อาศัยอยู่ตามดอกไม้ทะเลแถวๆบริเวณปะการังฝั่งทะเลอันดามันปลาการ์ตูนจะมีอุปนิสัยที่เชื่องง่าย (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาสิงโต
ปลาสิงโตมีลำตัวป้อมสั้น ก้านครีบแข็งของปลาสิงโตทำหน้าที่ป้องกันตัว ใช้ทิ่มแทงศัตรูที่มารบกวน บางชนิดมีตอมน้ำพิษอยู่ด้วย จึงเป็นอันตรายมากหากถูกปลาชนิดนี้ตำ ปลาสิงโตจะอาศัยอยู่ตามแนวปะการัง จะว่ายน้ำอย่างเชื่องช้า หรือจะพักตัวอยู่กับก้อนหินหรือพวกปะการัง จะกินอาหารโดยจับเหยื่อกลืนเข้าไปทั้งตัว (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาหมอทะเล
ปลาหมอทะเลเป็นปลากะรังขนาดใหญ่เป็นสัตว์กินเนื้อ ชอบกินปลาขนาดเล็กเป็นอาหาร แต่ไม่ดุร้าย มักอาศัยอยู่ตามซากโป๊ะ กองหินใต้น้ำ ว่ายน้ำไปมาอย่างเชื่องช้าหรือลอยตัวอยู่นิ่งๆ (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาตีน
ปลาตีนสามารถขึ้นมาอาศัยอยู่บนบกได้เป็นเวลานานๆ ปลาตีนนั้นมีลักษณะที่มีหัวขนาดใหญ่ ลำตัวเรียวเล็กลงไปทางหาง คล้ายสัตว์เลื้อยคลายจำพวกกิ้งก่า ปลาตีนจะชอบอาศัยอยู่ตามหาดโคลนริมชายฝั่งที่ทะเลน้ำไม่เค็มจัด (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาปักเป้า
ปลาปักเป้าเป็นปลากระดูกแข็ง ลำตัวสั้นค่อนข้างกลม พิษของปักเป้าสะสมอยู่บริเวณอวัยวะภายในได้แก่ ลำไส้ ตับ ไต ถุงน้ำดี ไข่ และผิวหนัง (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
เต่าทะเล
เต่าทะเลเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่มานาน เต่าทะเลมีการปรับตัวหลายอย่างที่แตกต่างไปจากเต่าบนบก เต่าทะเลไม่มีฟันซี่มีแต่ขากรรไกร ใช้ขบกัดสัตว์มีเปลือกให้แตกเพื่อกินเป็นอาหาร (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
พะยูน
พะยูนหรือเงือกเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีลำตัวอ้วนกลมผิวเรียบสีเทาหือเทาดำ หัวมนไม่มีใบหูปากกว้าง มีประสาทเกี่ยวกับการรับฟังได้ดี ใต้ครีบหูมีเต้านมสองเต้า ครีบหางแบนขนานกับพื้น อาหารหลักของพะยูนคือ หญ้าทะเลและสาหร่ายทะเล ที่ขึ้นอยู่ริมชายฝั่งทะเลที่เป็นดินทรายปนโคลนออกหากินในเวลากลางวันและกลางคืน ส่วนมากพะยูนจะอาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งที่มีหญ้าทะเล พะยูนออกลูกครั้งละ 1 ตัว พะยูนนั้นมีอยู่สองประเภทใหญ่ๆ คือดูกอง เป็นพะยูนพันธุ์ที่พบในทะเลเขตร้อน และมานาที พบแพร่กระจายอยู่บริเวณชายฝั่งและแม่น้ำของทวีปอัฟริกาตะวันตก 1 ชนิด และอีก 2 ชนิดพบทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้และทะเลคาริเบียน (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)
ปลาสินสมุทร
ปลาสินสมุทรเป็นปลากระดูกแข็งในกลุ่มคลาสปลาหางแฉก-หางพัด ปลาสินสมุทรเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ (ยาวประมาณ 10-40 เซนติเมตร) มีสีสันสวยงาม ลักษณะของปลาสินสมุทรอีกอย่างคือเป็นปลาประจำถิ่น มีขอบเขตที่อยู่แน่นอน แต่ละชนิดมีอาณาเขตไม่เท่ากัน ยามเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในเขตแดน ปลาสินสมุทรมักว่ายเข้ามาดู (สุรินทร์ มัจฉาชีพ,2518)